อย่าดูแลบาดแผลหรือรอยแผลเป็นของคุณแบบผิด ๆ!

บาดแผลกับรอยแผลเป็นแตกต่างกันอย่างไร? อาจดูเหมือนเป็นคำถามที่ชัดเจนในตอนแรก การสมานแผลเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป และจะมีบางช่วงระหว่างกระบวนการที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ชัดเจนนัก - ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากดูแลบาดแผลอย่างไม่ถูกต้อง

Wound

Scar

 

การใช้ยารักษาบาดแผลกับรอยแผลเป็นไม่สามารถลดรอยแผลเป็นได้  และการใช้ยารักษารอยแผลเป็นกับบาดแผลใหม่ ๆ อาจรบกวนกระบวนการสมานแผล

หากคุณไม่แน่ใจว่าการบาดเจ็บของคุณอยู่ในระยะใดหรือควรรักษาด้วยวิธีใด  ให้ตรวจสอบง่าย ๆ จากลักษณะอาการต่อไปนี้!

ยังมีเลือดออกหรือไม่? 1

สถานะ: บาดแผล

หากมีเลือดออกในบริเวณที่บาดเจ็บ แสดงว่าอาจยังเป็นแผลใหม่ หรือบาดแผลกลับมาปริแยก ควรรักษาบาดแผลให้สะอาด และทาขี้ผึ้งยาปฏิชีวนะ 3 เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ

 

มีของเหลวใสหรือขุ่น ซึมออกมาหรือไม่? 2

สถานะ: บาดแผล

ในระยะนี้ บาดแผลยังไม่ปิด ร่างกายของคุณจะยังคงกำจัดเศษซากของเซลล์ที่ตายและเสียหาย ให้รักษาบริเวณที่บาดเจ็บให้สะอาดและแห้ง  หากบาดแผลอยู่ในบริเวณที่อาจสกปรกได้ง่าย หรืออาจถูกเสียดสีจากเสื้อผ้า ให้ปิดบาดแผลด้วยวัสดุชนิดไม่ติดแผลที่ปลอดเชื้อ 3

 

บริเวณที่บาดเจ็บนั้นอักเสบหรือบวมหรือไม่? 2

สถานะ: บาดแผล

แม้ว่าจะไม่มีของเหลวซึมออกมาแล้ว  ในระยะนี้บริเวณที่บาดเจ็บยังเป็นบาดแผลอยู่ และควรรักษาด้วยยารักษาบาดแผลแทนที่จะใช้ยารักษารอยแผลเป็น รักษาบริเวณบาดแผลให้สะอาดอยู่เสมอ และอย่าแกะสะเก็ดแผลเพราะจะทำให้โอกาสเกิดรอยแผลเป็นสูงขึ้น 3

 

เนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บอ่อนนุ่ม เป็นสีชมพูหรือสีแดงหรือไม่? 2

สถานะ: บาดแผล

หากสะเก็ดแผลทั้งหมดหลุดออกเองตามธรรมชาติ  และบริเวณบาดแผลเป็นสีชมพู แสดงว่าแผลปิดแล้ว และร่างกายของคุณกำลังเริ่มสร้างเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผล 2  ในช่วงนี้คุณสามารถเริ่มใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับรักษารอยแผลเป็น เช่น Dermatix™ Ultra ซึ่งเป็นซิลิโคนเจล ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิผล 4,5

 

บาดแผลบริเวณที่บาดเจ็บปิดสนิทแล้วและถูกปกคลุมด้วยผิวหนังที่แห้งหรือไม่? 2

สถานะ: บาดแผล

ในระยะนี้ร่างกายของคุณได้สร้างเซลล์ผิวหนังปิดทับบาดแผลแล้ว และขั้นตอนสุดท้ายของการสมานแผลกำลังจะเริ่มขึ้น  คุณควรเริ่มการรักษารอยแผลเป็นทันที ยิ่งคุณเริ่มเร็วเท่าใด การรักษาจะยิ่งมีประสิทธิผลมากขึ้น